วิธีการสร้างบล็อก
เมื่อต้องการเริ่มเขียนบล็อกด้วยบล็อกเกอร์ ให้ไปที่ หน้าแรกของบล็อกเกอร์ ใส่ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของผู้สมัคร จากนั้นคลิกลงชื่อเข้าใช้ ป้อนชื่อที่แสดง
และยอมรับข้อกำหนดในการให้บริการของบล็อกเกอร์ จากนั้นคลิกที่ลิงค์ สร้างบล็อกต่อจากนั้นเริ่มต้นตามขั้นตอนได้เลย
เลือกที่อยู่ (URL) และชื่อบล็อก
จากนั้นเลือกเทมเพลตบล็อกที่ผู้สมัครชื่นชอบจากนั้นก็ เพิ่มข้อมูลในโปรไฟล์ส่วนบุคคลของผู้สมัคร
และปรับแต่งลักษณะของบล็อกได้ตามความต้องการของผู้สมัคร
รูปที่1:แดชบอร์ด
หน้าแดชบอร์ดคือจุดเริ่มต้นของผู้สมัคร ในหน้านี้จะแสดงข้อมูลรายชื่อบล็อกของผู้สมัครทั้งหมด
และคุณสามารถคลิกที่ไอคอนถัดจากชื่อบล็อกเพื่อดำเนินการต่างๆ กับแต่ละบล็อกได้
เช่น
- เขียนโพสต์ใหม่: คลิกที่ไอคอนดินสอสีส้มบนแดชบอร์ดเพื่อเข้าถึงเครื่องมือการแก้ไขโพสต์
- ดูโพสต์ของคุณ: ไอคอนรายการโพสต์สีเทาจะนำคุณไปยังรายการโพสต์ที่เผยแพร่และโพสต์ในข้อความร่างของบล็อกนั้นๆ
-nติดตามบล็อกโปรดของคุณ: ด้านล่างรายการบล็อกของคุณ คุณสามารถจะเห็นรายการบล็อกที่คุณติดตาม
พร้อมข้อความตัวอย่างจากโพสต์ล่าสุดของบล็อกเหล่านั้น
- อื่นๆ: ดูเมนูเลื่อนลงข้างไอคอนรายการโพสต์สำหรับลิงก์ด่วนไปยัง
*ภาพรวม
*โพสต์
* หน้าเว็บ
* ความคิดเห็น
* สถิติ
* รายได้
* การออกแบบ
* เทมเพลต
* การตั้งค่า
รูปที่2 : ภาพรวม
เขียนโพสต์ของคุณ
เมื่อคุณลงชื่อเข้าใช้บล็อกเกอร์แล้ว คุณจะสามารถเห็นแดชบอร์ดพร้อมด้วยรายชื่อบล็อก
ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณต้องทำ
1. คลิกที่ไอคอนรูปดินสอสีส้มเพื่อเขียนโพสต์ใหม่
และป้อนอะไรก็ได้ที่ต้องการแบ่งปันกับคนทั้งโลก
2. ถัดไป
คุณจะเห็นหน้าเว็บของเครื่องมือแก้ไขโพสต์ เริ่มต้นด้วยการตั้งชื่อโพสต์จากนั้นป้อนเนื้อหาโพสต์
3. เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ให้คลิกปุ่ม ดูตัวอย่าง ที่ด้านบนเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่าพร้อมที่จะดำเนินการ
จากนั้นคลิกที่ปุ่ม เผยแพร่ เพื่อเผยแพร่โพสต์
รูปที่3 : เขียนโพสต์
เพิ่มรูปภาพ
คุณสามารถเพิ่มภาพจากคอมพิวเตอร์หรือจากเว็บไปยังบล็อกของคุณ
คลิกที่ไอคอนภาพในแถบเครื่องมือของเครื่องมือแก้ไขบทความ หน้าต่างใหม่จะปรากฏขึ้น
เพื่อให้คุณเรียกดูไฟล์ภาพจากคอมพิวเตอร์ หรือป้อน URL ของภาพบนเว็บ
เมื่อคุณเลือกภาพได้แล้ว
คุณจะสามารถเลือกการออกแบบเพื่อกำหนดว่าภาพของคุณจะปรากฏในบทความอย่างไร
-
ตัวเลือก
"ซ้าย" "กึ่งกลาง" และ "ขวา"
ช่วยให้คุณปรับแต่งวิธีที่ข้อความบล็อกจะล้อมรอบภาพของคุณ
-
ตัวเลือก
"ขนาดภาพ" จะกำหนดขนาดของภาพที่จะปรากฏในบทความของคุณ
-
คลิก อัพโหลดภาพ เพื่อเพิ่มภาพของคุณ จากนั้นคลิก เสร็จสิ้น เมื่อหน้าต่างการแจ้งปรากฏเพื่อแจ้งให้คุณทราบว่า
"เพิ่มภาพของคุณแล้ว" จากนั้น Blogger จะนำคุณกลับสู่เครื่องมือแก้ไขบทความ
ซึ่งคุณจะพบภาพของคุณพร้อมสำหรับการเผยแพร่ในบล็อกของคุณนอกจากนี้คุณยังสามารถเผยแพร่ภาพในบล็อกของคุณ
โดยใช้อุปกรณ์มือถือ ซอฟต์แวร์ภาพที่ให้บริการฟรีของ Google Picasa หรือบริการของบุคคลที่สามเช่น flickr เรียนรู้เพิ่มเติม
เพิ่มวิดีโอ
เมื่อต้องการเพิ่มวิดีโอลงในโพสต์ของบล็อก
ให้คลิกไอคอนรูปแผ่นฟิล์มในแถบเครื่องมือตัวแก้ไขโพสต์ที่ด้านบนของบริเวณที่คุณใช้เขียนข้อความบล็อก
จะมีหน้าต่างปรากฏเพื่อให้คุณ "เพิ่มวิดีโอในบทความบล็อกของคุณ" คลิก เรียกดู เพื่อเลือกไฟล์วิดีโอจากคอมพิวเตอร์ของคุณที่คุณต้องการอัพโหลด
โปรดทราบว่า Blogger ยอมรับไฟล์ AVI, MPEG,
QuickTime, Real และ Windows Media และวิดีโอของคุณต้องมีขนาดน้อยกว่า
100 เมกะไบต์
ก่อนที่จะอัพโหลดวิดีโอ
เพิ่มชื่อในช่อง "ชื่อวิดีโอ" และยอมรับข้อกำหนดในการให้บริการ (คุณต้องดำเนินการนี้เฉพาะครั้งแรกที่อัพโหลดวิดีโอกับ
Blogger) จากนั้นคลิก อัพโหลดวิดีโอขณะที่วิดีโอของคุณถูกอัพโหลด
คุณจะพบตัวจองพื้นที่ในเครื่องมือแก้ไขบทความ
เพื่อแสดงว่าวิดีโอของคุณจะปรากฏที่ไหน
นอกจากนี้คุณจะพบข้อความสถานะใต้เครื่องมือแก้ไขบทความ เพื่อแจ้งให้คุณทราบว่าการอัพโหลดกำลังดำเนินการ
ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณห้านาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดวิดีโอของคุณ
เมื่อดำเนินการเสร็จ วิดีโอของคุณจะปรากฏในตัวแก้ไขโพสต์
กำหนดค่า
เทมเพลตเป็นสิ่งที่คุณจะใช้ปรับแต่งบล็อกได้อย่างสนุกสนาน
เมื่อสร้างบล็อกใหม่ คุณจะต้องเลือกเทมเพลตเริ่มต้น
ซึ่งเป็นการออกแบบพื้นฐานสำหรับบล็อกของคุณ คุณสามารถเลือกจาก เทมเพลตจำนวนมาก ที่เตรียมไว้ให้สำหรับบล็อกของคุณ
เพียงเลือกเทมเพลตที่เหมาะกับความต้องการของคุณมากที่สุด
รูปที่4 : เทมเพลต
เมื่ออยู่บนแท็บ เทมเพลต คุณสามารถเลือกคลิกที่ปุ่ม กำหนดค่า สีส้มเพื่อเริ่มเครื่องมือออกแบบเทมเพลต
WYSIWYG (“สิ่งที่เห็นคือสิ่งที่จะได้”) หรือเลือกเทมเพลตเริ่มต้นอันใดอันหนึ่งของเรา หากต้องการแก้ไข HTML
ของบล็อก ให้คลิกที่ปุ่ม แก้ไข HTML สีเทา
นอกจากนี้ คุณสามารถปรับแต่งการออกแบบบล็อก โดยใช้อินเทอร์เฟซแบบลากและวางที่ใช้งานง่าย
นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มวิดเจ็ตดีๆ เช่นการแสดงภาพสไลด์ หรือโพลจากผู้ใช้
หรือแม้แต่ โฆษณา AdSense ก็ได้
ถ้าคุณต้องการควบคุมการออกแบบบล็อกโดยละเอียดยิ่งขึ้นอีก
คุณสามารถใช้คุณลักษณะแก้ไข HTML ได้
ในการแก้ไขการออกแบบบล็อก ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
รูปที่5 : เปลี่ยนเทมเพลต
1. คลิก การออกแบบ จากเมนูแบบเลื่อนลงบนแดชบอร์ดด้านล่างบล็อกที่คุณต้องการกำหนดค่า
2. จากนั้นคลิก แก้ไข เพื่อแก้ไขแกดเจ็ตที่มีอยู่
หรือ เพิ่มแกดเจ็ต เพื่อเพิ่มใหม่
3. ถ้าต้องการเพิ่มแกดเจ็ตใหม่หลังจากที่คุณคลิก เพิ่มแกดเจ็ต ให้คลิกที่เครื่องหมายบวกถัดจากแกดเจ็ตที่คุณต้องการ
คุณสามารถเลือกวิดเจ็ตตามหมวดหมู่ หรือค้นหาวิดเจ็ตที่ต้องการในมุมด้านขวาบนของหน้าต่างแบบป๊อบอัป
4. เมื่อคุณได้เพิ่มข้อมูลที่จำเป็นไปยังแกดเจ็ตที่เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว
ให้คลิกปุ่ม บันทึกการจัดวาง สีส้ม การออกแบบที่เปลี่ยนแปลงไว้จะปรากฏขึ้นในทันที
รูปที่6 : เพิ่มแกดเจ็ต
ตั่งค่าข้อมูลส่วนบุคคลและการอนุญาต
ตามค่าเริ่มต้น
บล็อกของคุณทุกส่วนจะเป็นแบบสาธารณะ และบุคคลทั่วไปในอินเทอร์เน็ตสามารถอ่านได้ แต่ถ้าคุณต้องการความเป็นส่วนตัว
คุณสามารถทำได้เช่นกัน คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเหล่านี้ในแท็บ การตั้งค่า | ขั้นต้น
รูปที่7 : ตั้งค่า
1. ในส่วน "ผู้อ่านบล็อก" คุณอาจพบว่ามีการเลือก
"ใครก็ได้" ไว้เป็นค่าเริ่มต้น เมื่อเปลี่ยนตัวเลือกนี้เป็น "เฉพาะผู้อ่านเหล่านี้"
คุณจะพบปุ่ม เพิ่มผู้อ่าน
2. คลิกที่ปุ่ม เพิ่มผู้อ่าน จากนั้นป้อนที่อยู่อีเมล์ของบุคคลที่คุณต้องการให้สิทธิ์ในบล็อกของคุณ
ถ้าต้องการเพิ่มหลายคน ให้คั่นที่อยู่ด้วยเครื่องหมายจุลภาค
3. สำหรับแต่ละที่อยู่ที่ป้อน บัญชีผู้ใช้ Google ที่เชื่อมโยงกับที่อยู่นั้นจะได้รับสิทธิ์ในการดูบล็อกของคุณ
ถ้าที่อยู่ไม่ได้เชื่อมโยงกับบัญชี บุคคลนั้นจะได้รับอีเมล์คำเชิญพร้อมด้วยลิงค์เพื่อให้สามารถดำเนินการหนึ่งในสามอย่างต่อไปนี้:
- ลงชื่อเข้าใช้บัญชีที่มีอยู่
- สร้างบัญชีใหม่
- ดูบล็อกในฐานะผู้เข้าชม (ไม่ต้องมีบัญชี)
ประวัติความเป็นมาของ Windows
รูปที่ 8 : จุดเริ่มต้น
Paul Allen (ซ้าย) และ Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft
ในช่วงปี 2513 ที่ทำงานเราต้องใช้เครื่องพิมพ์ดีด หากจำเป็นต้องทำสำเนาเอกสาร
เราก็จะใช้เครื่องโรเนียวหรือกระดาษคาร์บอน ไม่ค่อยมีใครพูดถึงไมโครคอมพิวเตอร์
แต่เด็กหนุ่มสองคนที่ชื่นชอบคอมพิวเตอร์อย่าง Bill Gates และ
Paul Allen กลับเห็นว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลคือเส้นทางสู่อนาคต
ในปี 2518 Gates และ Allen ร่วมกันก่อตั้งบริษัทที่ชื่อ Microsoft Microsoft ก็ไม่ต่างจากบริษัทที่เริ่มกิจการใหม่ส่วนใหญ่
โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ แต่มีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ
บนทุกโต๊ะทำงานและในทุกบ้านต้องมีคอมพิวเตอร์ ในปีต่อๆ มา Microsoft เริ่มเข้ามาเปลี่ยนวิธีการทำงานของเรา
การมาของ
MS‑DOS
ในเดือนมิถุนายน 2523 Gates และ Allen ได้ว่าจ้าง Steve Ballmer อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนจากฮาร์วาร์ดของ Gates ให้มาช่วยพวกเขาดำเนินกิจการของบริษัท
ในเดือนต่อมา IBM ได้เข้ามาติดต่อMicrosoft เกี่ยวกับโปรเจ็กต์ที่ชื่อว่า
"Chess"
ด้วยเหตุนี้ Microsoft จึงได้หันมาให้ความสำคัญกับระบบปฏิบัติการใหม่
ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการ
หรือสั่งงานฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์และยังทำหน้าที่เชื่อมช่องว่างระหว่างฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์กับโปรแกรม
เช่น โปรแกรมประมวลผลคำ และยังเป็นพื้นฐานสำหรับการสั่งงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย
พวกเขาตั้งชื่อระบบปฏิบัติการใหม่นี้ว่า "MS‑DOS"การวางจำหน่ายพีซีของ IBM
ที่ใช้ MS‑DOS ในปี 2524
ถือเป็นการเปิดตัวภาษาใหม่ให้สาธารณชนทั่วไปรู้จัก การพิมพ์ “C:” และคำสั่งที่เป็นรหัสต่างๆ เริ่มกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานประจำวัน
ผู้คนเริ่มรู้จักปุ่มแบคสแลช
2525–2528: การเปิดตัว Windows 1.0
รูปที่ 9 : Windows 1.0
Microsoft ยังคงพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่เวอร์ชันแรกต่อไป Interface Manager เป็นชื่อรหัสและได้รับเลือกให้เป็นชื่อสุดท้าย
แต่ชื่อ Windows กลับมาชนะไปในที่สุด
เพราะอธิบายถึงกล่องหรือ “หน้าต่าง” ของคอมพิวเตอร์ที่เป็นรากฐานของระบบใหม่ได้ดีที่สุด
มีการประกาศวันวางจำหน่ายWindows ในปี 2526 แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป พวกที่ไม่ปลื้มเรียกว่าระบบนี้ว่า “เวเปอร์แวร์”4ws
รูปที่ 10 : ชุดโปรแกรมเต็มรูปแบบWindows 1.0
ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2528 สองปีหลังจากการประกาศเปิดตัวครั้งแรก Microsoft ก็วางจำหน่าย Windows 1.0 ตอนนี้
แทนที่จะพิมพ์คำสั่ง MS‑DOS คุณก็เพียงแค่เลื่อนเมาส์เพื่อชี้และคลิกที่ตำแหน่งต่างๆ บนหน้าจอ หรือ “หน้าต่าง” เท่านั้น Bill Gates พูดว่า “นี่คือซอฟต์แวร์พิเศษที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้พีซีตัวจริง” มีเมนูดรอปดาวน์ แถบเลื่อนหน้าจอ ไอคอน
และกล่องโต้ตอบที่ช่วยให้เข้าใจการทำงานและใช้งานโปรแกรมได้ง่ายขึ้น
คุณสามารถสลับระหว่างโปรแกรมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องออกจากอีกโปรแกรมหรือเริ่มระบบใหม่ Windows 1.0 มาพร้อมโปรแกรมมากมาย
ซึ่งได้แก่การจัดการไฟล์ MS‑DOS,
Paint, Windows Writer,
Notepad, Calculator รวมถึงปฏิทิน, ไฟล์การ์ด
และนาฬิกาที่จะช่วยคุณจัดการกับงานในแต่ละวัน
Windows 1.0 จำเป็นต้องใช้หน่วยความจำอย่างน้อย
256 กิโลไบต์ (KB) ฟลอปปีดิสก์ไดรฟ์แบบสองด้าน
และการ์ดจอ มีการแนะนำให้ใช้ฮาร์ดดิสก์และหน่วยความจำ 512 KB สำหรับการเรียกใช้หลายๆ โปรแกรมหรือเมื่อใช้ DOS 3.0 หรือรุ่นที่สูงกว่า
2530–2535: Windows 2.0 – 2.11
รูปที่ 11 : หน้าตาของWindows 2.0
ในวันที่ 9 ธันวาคม 2530 Microsoft ได้วางจำหน่าย Windows 2.0 ที่มีไอคอนบนเดสก์ท็อปและหน่วยความจำส่วนขยาย
ด้วยการสนับสนุนกราฟิกที่ได้รับการปรับปรุง ตอนนี้คุณสามารถซ้อนทับหน้าต่าง
ควบคุมเค้าโครงของหน้าจอ และใช้แป้นพิมพ์เพื่อให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น
นักพัฒนาซอฟต์แวร์บางคนเขียนโปรแกรมแรกของตนเองบน Windows รุ่นนี้
รูปที่ 12 : Windows 2.0
Windows 2.0 ออกแบบมาสำหรับการใช้งานกับตัวประมวลผล
Intel
286 เมื่อมีการวางจำหน่ายตัวประมวลผล Intel 386 Windows/386 ก็ออกตามมาทันทีเพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถของหน่วยความจำส่วนขยาย Windows รุ่นต่อมายังคงมีการปรับปรุงความเร็ว
ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการใช้งานของพีซีอย่างต่อเนื่อง ในปี 2531 Microsoft กลายเป็นบริษัทซอฟต์แวร์สำหรับพีซีรายใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อดูจากยอดขาย
คอมพิวเตอร์เริ่มกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันสำหรับผู้ที่ทำงานในสำนักงานบางแห่ง
2533–2537: Windows 3.0–Windows NT
รูปที่ 13 : Windows 3.0
ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2533 Microsoft ได้ประกาศเปิดตัว Windows 3.0 และตามมาด้วย Windows 3.1 ในปี 2535 เมื่อนับรวมกัน ทั้งสองรุ่นสามารถขายได้ 10 ล้านสำเนาในระยะเวลา
2 ปีแรก ทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows เป็นระบบปฏิบัติการที่มีการใช้กันแพร่หลายมากที่สุด
ความสำเร็จนี้ทำให้Microsoft กลับมาคิดทบทวนแผนการก่อนหน้านี้อีกครั้ง
หน่วยความจำเสมือนช่วยปรับปรุงกราฟิกการแสดงผล ในปี 2533 Windows เริ่มมีลักษณะเหมือนกับรุ่นที่ใช้งานกันอยู่
Windows ในตอนนี้
มีพัฒนาการด้านประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นมาก มีกราฟิกขั้นสูง 16 สี และไอคอนที่ปรับปรุงใหม่ คลื่นลูกใหม่ของพีซี 386 ช่วยให้ Windows 3.0 เป็นที่นิยมมากขึ้น
ด้วยตัวประมวลผล Intel
386 ผู้ใช้จึงสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีการเพิ่ม
Program Manager, File Manager และ Print Manager เข้ามาใน Windows 3.0
รูปที่ 14 : Bill
Gates โชว์ Windows 3.0 รุ่นที่วางจำหน่ายล่าสุด
มีการติดตั้งซอฟต์แวร์ Windows โดยใช้ฟลอปปีดิสก์ที่อยู่ในกล่องขนาดใหญ่ซึ่งมาพร้อมคู่มือการใช้งานเล่มหนา
ความนิยมของ Windows 3.0 เติมโตพร้อมกับการวางจำหน่าย Windows software
development kit (SDK) ใหม่ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์มุ่งเน้นไปที่การเขียนโปรแกรมมากขึ้นและใช้เวลาในการเขียนโปรแกรมควบคุมอุปกรณ์น้อยลง
Windows มีการใช้งานในที่ทำงานและที่บ้านมากขึ้นเรื่อยๆ
และตอนนี้ยังมีเกมต่างๆ เช่น Solitaire,
Hearts และ Minesweeper โดยมีการโฆษณาว่า “ตอนนี้คุณสามารถใช้ความสามารถอันน่าทึ่งของ Windows 3.0 เพื่อลดภาระของคุณได้แล้ว”
Windows สำหรับ Workgroups 3.11
ได้เพิ่มเวิร์กกรุ๊ปแบบเพียร์ทูเพียร์และการสนับสนุนเครือข่ายโดเมน
และเป็นครั้งแรกที่พีซีกลายเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ไคลเอ็นต์/เซิร์ฟเวอร์ที่เกิดใหม่
Windows NT
เมื่อ Windows NT ออกวางจำหน่ายในวันที่
27 กรกฎาคม 2536 Microsoft ได้มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญ
นั่นคือ โปรเจ็กต์ที่เริ่มมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 เพื่อสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ขั้นสูงตั้งแต่เริ่มต้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว
"Windows NT แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงรากฐานของวิธีการที่บริษัทต่างๆ
สามารถใช้จัดการกับความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ของธุรกิจได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน"
Bill
Gates กล่าวไว้เมื่อผลิตภัณฑ์ออกวางจำหน่าย ซึ่งแตกต่างจาก Windows 3.1 อย่างไรก็ตาม Windows NT 3.1 เป็นระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิต
ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจเชิงกลยุทธ์ที่รองรับโปรแกรมทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ระดับสูง
2538–2544: Windows 95
รูปที่ 15 : Windows 95
ในวันที่ 24 สิงหาคม 2538 Microsoft ได้ออกวางจำหน่าย Windows 95 ซึ่งสามารถสร้างสถิติทำยอดขายได้ถึง
7 ล้านสำเนาในช่วงห้าสัปดาห์แรก
นับเป็นการเปิดตัวที่ได้รับการกล่าวขานถึงมากที่สุดที่ Microsoft เคยทำมา สปอร์ตโฆษณาทางโทรทัศน์ใช้เพลงของ
Rolling
Stones ที่ชื่อว่า "Start Me Up" ในการนำเสนอปุ่ม
'เริ่ม' ซึ่งเป็นปุ่มใหม่
ข่าวประชาสัมพันธ์พาดหัวขึ้นต้นว่า: “อยู่นี่ไง”
รูปที่ 16 : วันเปิดตัว:
Bill Gates แนะนำ Windows 95
นี่คือยุคของแฟกซ์/โมเด็ม อีเมล์
โลกออนไลน์แบบใหม่ และเกมมัลติมีเดียที่ละลานตาและซอฟต์แวร์ทางการศึกษา Windows 95 มีการสนับสนุนอินเทอร์เน็ตในตัว
การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่านสายโทรศัพท์ และความสามารถใหม่ Plug and Play ที่ทำให้ติดตั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้
ระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิตยังมาพร้อมความสามารถด้านมัลติมีเดียขั้นสูง
คุณลักษณะสำหรับคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
และการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบครบวงจร
ในช่วงเวลาที่มีการวางจำหน่าย Windows 95 ระบบปฏิบัติการ Windows และ MS‑DOS รุ่นก่อนหน้ามีการใช้งานอยู่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของพีซีที่มีอยู่ในโลก Windows 95 เป็นการปรับรุ่นให้กับระบบปฏิบัติการเหล่านี้
เมื่อต้องการเรียกใช้ Windows 95 คุณจำเป็นต้องมีพีซีที่มีตัวประมวลผล
386DX หรือที่สูงกว่า (ขอแนะนำ 486) และมี RAM อย่างน้อย 4 MB (ขอแนะนำ RAM 8 MB) เวอร์ชันอัพเกรดมีทั้งในรูปแบบฟลอปปีดิสก์และซีดีรอม โดยสามารถใช้งานได้ใน
12 ภาษา Windows 95 เป็นเวอร์ชันแรกที่มีเมนู
'เริ่ม' แถบงาน ปุ่มย่อ ปุ่มขยาย
และปุ่มปิดบนแต่ละหน้าต่าง
รูปที่ 17 : Windows 95
การจับกระแสอินเทอร์เน็ต
ในช่วงต้นปี 2533 ผู้ที่อยู่ในแวดวงเทคโนโลยีพูดถึงอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นเครือข่ายที่ประกอบขึ้นด้วยเครือข่ายต่างๆ
ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ในปี 2538 Bill Gates ได้ออกบทความที่ชื่อว่า “The Internet Tidal Wave” และประกาศว่าอินเทอร์เน็ตเป็น
“การพัฒนาที่สำคัญที่สุดตั้งแต่พีซีถือกำเนิดขึ้น” ในฤดูร้อน ปี 2538 มีการออก Internet Explorer รุ่นแรก เบราว์เซอร์นี้ออกมาเพื่อร่วมประชันกับเบราว์เซอร์อื่นๆ
ที่มีอยู่บน World Wide Web
ในปี 2539 Microsoft วางจำหน่ายโปรแกรมจำลองการบินสำหรับ Windows 95 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
14 ปี ที่สามารถใช้งานกับ Windows ได้
Windows 98
รูปที่ 18 : หน้าจอWindows 98
Windows 98 ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่
25 มิถุนายน 2541 เป็น Windows เวอร์ชันแรกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
พีซีกลายเป็นอุปกรณ์ที่พบได้ทั่วไปในที่ทำงาน ที่บ้าน
และร้านอินเทอร์เน็ตที่คุณสามารถออนไลน์ได้ก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด Windows 98 ได้รับการขนานนามว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่
“ทำงานก็ได้ เล่นก็ดี”
Windows 98 ช่วยให้คุณสามารถค้นหาข้อมูลบนพีซีของคุณและบนอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น
การปรับปรุงอื่นๆ ได้แก่ ความสามารถในการเปิดและการปิดโปรแกรมที่รวดเร็วขึ้น
และการสนับสนุนการอ่านแผ่นดีวีดีและอุปกรณ์ Universal Serial Bus (USB) อีกสิ่งหนึ่งที่ปรากฏเป็นครั้งแรกก็คือ
แถบ “เปิดใช้งานด่วน” ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเปิดโปรแกรมได้โดยไม่ต้องเปิดเมนู
'เริ่ม' หรือค้นหาโปรแกรมบนเดสก์ท็อป
รูปที่ 19 : Windows 98
Windows Me
รูปที่ 20 : Windows 98
Windows Me ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานภายในบ้านมีการปรับปรุงคุณลักษณะเกี่ยวกับเพลง
วิดีโอ และเครือข่ายภายในบ้านจำนวนมาก
รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้มีความเสถียรมากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
สิ่งที่ปรากฏเป็นครั้งแรก ได้แก่ System Restore ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สามารถย้อนการกำหนดค่าซอฟต์แวร์พีซีของคุณกลับไปยังวันที่หรือเวลาก่อนที่จะเกิดปัญหาได้
Movie Maker ทำให้ผู้ใช้มีเครื่องมือที่สามารถแก้ไข
บันทึกและแบ่งปันวิดีโอภาพครอบครัวในแบบดิจิตอล และด้วยเทคโนโลยีMicrosoft
Windows Media Player 7 คุณจึงสามารถค้นหา จัดระเบียบ และเล่นสื่อดิจิตอลได้
หากจะพูดกันในเชิงเทคนิค Windows Me ถือเป็นระบบปฏิบัติการสุดท้ายของ Microsoft ที่ใช้โค้ดของ Windows 95 เป็นพื้นฐานMicrosoft ประกาศว่าผลิตภัณฑ์ระบบปฏิบัติการทั้งหมดในอนาคตจะทำงานบนเคอร์เนล Windows NT และ Windows 2000
Windows 2000 Professional
รูปที่ 21 : Windows 2000 Professional
Windows 2000 Professional ไม่ได้เป็นเพียงแค่การอัปเกรดจาก Windows NT Workstation 4.0 เท่านั้น
แต่ยังออกแบบมาเพื่อแทนที่ Windows 95, Windows 98 และ Windows NTWorkstation 4.0 ที่อยู่บนเดสก์ท็อปและแล็ปท็อปสำหรับธุรกิจทั้งหมด Windows 2000 สร้างโดยใช้โค้ด Windows NT Workstation 4.0 ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ายอดเยี่ยมเป็นพื้นฐาน
และมีการปรับปรุงด้านความเสถียร ความสะดวกในการใช้งาน
ความสามารถในการใช้งานอินเทอร์เน็ต และรองรับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์แบบพกพา นอกจากจะปรับปรุงการทำงานในส่วนต่างๆ
แล้ว Windows 2000 Professional
ยังรองรับฮาร์ดแวร์ Plug and Play แบบใหม่หลายชนิด
รวมถึงผลิตภัณฑ์การเชื่อมต่อเครือข่ายและระบบไร้สายขั้นสูง อุปกรณ์ USB อุปกรณ์ IEEE 1394 และอุปกรณ์อินฟราเรด
ซึ่งช่วยให้การติดตั้งฮาร์ดแวร์เป็นเรื่องง่าย
2544 – 2548: Windows XP
รูปที่ 22 : Windows XP โฉมใหม่
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 มีการวางจำหน่าย Windows XP โฉมใหม่
ซึ่งเน้นไปที่ฟังก์ชันที่สามารถใช้งานได้จริงและศูนย์รวมข้อมูลความช่วยเหลือและวิธีใช้แบบครบวงจร
โดยสามารถใช้งานได้ใน 25 ภาษา นับแต่ช่วงกลางปี 2513 จนถึงการวางจำหน่าย Windows XP มีพีซีประมาณ 1 พันล้านเครื่องทั่วโลกที่ติดตั้งโปรแกรมนี้
สำหรับ Microsoft ระบบปฏิบัติการ Windows XP กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ขายดีอันดับหนึ่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
ด้วยความรวดเร็วและความเสถียรของระบบ การเข้าออกเมนู 'เริ่ม'
แถบงาน และแผงควบคุมสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น
มีการตื่นตัวเรื่องไวรัสคอมพิวเตอร์และแฮกเกอร์มากขึ้น
แต่ก็มีการเปิดให้ดาวน์โหลดอัพเดตระบบความปลอดภัยทางออนไลน์ซึ่งช่วยลดความกลัวได้ระดับหนึ่ง
ผู้ใช้เริ่มเข้าใจถึงคำเตือนเกี่ยวกับเอกสารแนบที่น่าสงสัยและไวรัส
และเริ่มเห็นความสำคัญของบริการช่วยเหลือและวิธีใช้มากขึ้น
รูปที่ 23 : การวางจำหน่าย Windows XP Professional
Windows XP Home Edition มีการออกแบบด้านภาพให้ดูสบายตาและเรียบง่าย
ทำให้สามารถเข้าถึงคุณลักษณะที่ใช้งานบ่อยได้ง่ายขึ้น Windows XP ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานภายในบ้านมาพร้อมการปรับปรุงในส่วนต่างๆ
เช่น Network Setup Wizard Windows Media Player, Windows Movie Maker และความสามารถด้านภาพถ่ายดิจิตอลขั้นสูง8คือ
1. Windows XP Professional นำรากฐานที่แข็งแกร่งของ Windows 2000 มาเพิ่มความเสถียร
ความปลอดภัย และประสิทธิภาพการทำงานให้กับพีซีเดสก์ท็อป
นอกเหนือจากรูปลักษณ์ใหม่แล้วWindows XP Professional ยังมาพร้อมคุณลักษณะต่างๆ
สำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ในธุรกิจและการใช้คอมพิวเตอร์ขั้นสูงที่บ้าน
การสนับสนุนเดสก์ท็อประยะไกล การเข้ารหัสระบบไฟล์
รวมถึงคุณลักษณะการคืนค่าระบบและการเชื่อมต่อเครือข่ายขั้นสูงด้วย
การปรับปรุงที่สำคัญสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์แบบพกพา ได้แก่
การสนับสนุนเครือข่ายไร้สาย 802.1x, Windows Messengerและ Remote
Assistanceมี Windows XP หลายรุ่นในช่วงปีเหล่านี้
Windows XP รุ่น 64 บิต (2001) เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นแรกของ Microsoft สำหรับตัวประมวลผล 64
บิตที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานกับหน่วยความจำขนาดใหญ่และโปรเจคต่างๆ
เช่น ลักษณะพิเศษของภาพยนตร์ ภาพเคลื่อนไหวสามมิติ
โปรแกรมทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์
2. Windows XP Media Center Edition (2002) เหมาะสำหรับการใช้งานและการให้ความบันเทิงภายในบ้าน
คุณสามารถท่องอินเทอร์เน็ต ดูรายการสด เพลิดเพลินกับคอลเลคชันเพลงและวิดีโอดิจิตอล
และดูดีวีดีได้
3. Windows XP Tablet PC Edition (2002) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับคอมพิวเตอร์ที่รับข้อมูลแบบลายมือ
แท็บเล็ตพีซีจะมีปากกาดิจิตอลที่ใช้ร่วมกับระบบการจดจำลายมือ นอกจากนี้
คุณยังสามารถใช้เมาส์หรือแป้นพิมพ์ได้ด้วย
2549–2551: Windows Vista
รูปที่ 24 : Windows Vista
Windows Vista วางจำหน่ายในปี 2549 พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งที่สุด โดย User Account
Control จะช่วยป้องกันซอฟต์แวร์ที่อาจเป็นอันตรายไม่ให้เปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ
ในเครื่องของคุณ ใน Windows Vista Ultimate การเข้ารหัสไดรฟ์ด้วย BitLocker สามารถให้การปกป้องข้อมูลที่ดีกว่าสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ
เนื่องจากยอดขายแล็ปท็อปและความต้องการด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ Windows Vista ยังปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของ Windows Media Player ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ใช้ที่ใช้พีซีเป็นศูนย์รวมสื่อดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น
คุณจึงสามารถดูทีวี ดูและส่งภาพถ่าย และแก้ไขวิดีโอบนพีซีได้
รูปที่ 25 : Windows Vista Ultimate
การออกแบบเข้ามามีบทบาทสำคัญใน Windows Vista และคุณลักษณะต่างๆ
เช่น รูปลักษณ์ใหม่ของแถบงานและเส้นขอบรอบหน้าต่าง การค้นหากลายเป็นคุณลักษณะใหม่ที่มีความสำคัญและช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาไฟล์บนพีซีของตนได้รวดเร็วขึ้น Windows Vista นำเสนอโปรแกรมรุ่นใหม่ๆ
ที่มีการผสมผสานของคุณลักษณะที่แตกต่างกัน โดยสามารถใช้งานได้ใน 35 ภาษา ปุ่ม 'เริ่ม' ที่ออกแบบใหม่ปรากฏเป็นครั้งแรกใน Windows Vista
2552: Windows 7
รูปที่ 26 : Windows 7
Windows 7 ออกแบบมาสำหรับโลกในระบบไร้สายที่เกิดขึ้นในปลายปี
2543 ในช่วงที่วางจำหน่าย
แล็ปท็อปก็มียอดขายดีกว่าเดสก์ท็อปและกลายเป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้สำหรับเชื่อมต่อกับฮอตสปอร์ตไร้สายสาธารณะตามร้านกาแฟและเครือข่ายส่วนตัวในบ้าน
Windows 7 มาพร้อมวิธีการใช้งานหน้าต่างแบบใหม่
เช่น Snap,
Peek และ Shake ซึ่งช่วยปรับปรุงฟังก์ชันการทำงานและทำให้ใช้งานอินเทอร์เฟซได้สนุกมากยิ่งขึ้น
และยังถือเป็นการเปิดตัว Windows Touch ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้หน้าจอสัมผัสสามารถท่องเว็บ
พลิกดูภาพถ่าย รวมถึงเปิดไฟล์และโฟลเดอร์ได้
รูปที่ 27 : การปรับปรุงแถบงานของ Windows 7 ได้แก่
การแสดงตัวอย่างภาพขนาดย่อแบบทันที
2555: Windows 8
รูปที่ 28 : Windows 8
Windows 8 คือ Windows รูปแบบใหม่เกาะกล่องที่ปรับปรุงตั้งแต่ระดับชิปเซ็ตไปจนถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้
โดยจะทำหน้าที่เป็นแท็บเล็ตเพื่อความบันเทิงและพีซีที่มีคุณลักษณะครบครันเพื่อให้การทำงานสำเร็จลุล่วง
นอกจากนี้ Windows
8 ยังมาพร้อมอินเทอร์เฟซใหม่ที่เข้ากันได้ดีกับระบบสัมผัส เมาส์
และแป้นพิมพ์ด้วย คุณจะได้สัมผัสกับเดสก์ท็อปWindows
8 ที่คุ้นเคยพร้อมแถบงานใหม่และการจัดการไฟล์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
Windows 8 มาพร้อมหน้าจอเริ่มต้นที่มีไทล์ซึ่งเชื่อมต่อกับบุคคล
ไฟล์ แอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่นต่างๆ
จะดูโดดเด่นสะดุดตาและสามารถดาวน์โหลดได้อย่างสะดวกจากสถานที่ใหม่ นั่นก็คือWindows Store ที่อยู่บนหน้าจอเริ่มต้น นอกจากนี้ Microsoft ยังเปิดตัว
Windows RT ที่ทำงานบนแท็บเล็ตและพีซีบางเครื่องพร้อมกับ Windows
8 ด้วย Windows RT ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์พกพาแบบเพรียวบางที่มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน
และใช้แอปพลิเคชั่นจาก Windows Store เท่านั้น นอกจากนี้ Windows
RT ยังมาพร้อม Office ในตัวที่เหมาะสำหรับหน้าจอสัมผัสด้วย
ขั้นตอนการติดตั้ง
Windows 8 บน VMWare
v.9
รูปที่ 29 : ติดตั้งVMware
หลังจากที่เรามีตัวโปรแกรม VMware แล้ว ให้เปิดขึ้นมาเลือกไปที่เมนู"Create a New Virtual Machine"
รูปที่ 30 : จากนั้นจะพบ
Wizard ของโปรแกรม ให้เลือกไปที่"Typical" แล้วกด
"Next"
รูปที่ 31: จากนั้นเลือก
Device หรือ Directory ที่จัดเก็บไฟล์ .ISO แล้วกด "Next"
รูปที่ 32: จากนั้นให้ทำการเลือก
Version ของระบบปฏิบัติการที่จะทำการติดตั้ง และ ตั้งชื่อให้เรียบร้อย หากมี CD-Key
ก็ใส่ลงไปด้วย
รูปที่ 33:จากนั้นจะเป็นการตั้งชื่อของโฟเดอร์ที่จัดเก็บไฟล์ข้อมูลจำลองของเรา
ให้ตั้งชื่ออะไรก็ได้ ส่วน Location ไม่ควรเปลี่ยน
รูปที่ 34:ถัดมาเป็นการตั้งค่าขนาดที่สามารถใช้งานได้สูงสุด
ของ VHD ให้คำนวณดูจากพื้นที่ว่างใน HDD
หลัก และ ความเหมาะสมสำหรับให้ระบบปฏิบัติการทำงานได้
โปรแกรมจะไม่สร้างพื้นที่ครอบคลุมไปทั้งหมด
แต่จะกำหนดพื้นที่ออกไปต่อเมื่อมีการใช้งานใน VM เท่านั้น
รูปที่ 35 : กำหนดพื้นที่
รูปที่ 36 : ตรวจสอบพื้นที่ว่าง
ถึงจุดนี้คือขั้นตอนสุดท้ายในการตั้งค่าทั้งหมด
โปรแกรมจะแสดงค่าที่ถูกตั้งมาทั้งหมด และ หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงค่าต่างๆ
สามารถกำหนดได้ที่ "Customize Hardware" โดย
สามารถกำหนดค่า Memory, Processor, Network, USB, Sound ฯ
ได้จากตรงนี้ (หากข้ามขั้นตอนนี้ไปแล้ว สามารถกลับมาแก้ไขได้ภายหลัง)
รูปที่ 37 : หลังจากผ่านทุกขั้นตอนมาแล้วก็จะได้หน้าตาของ VM ออกมาแบบนี้
คุณสามารถเริ่มต้นการติดตั้งได้โดยเลือกที่"Power on this virtual
machine"
รูปที่ 38 : หลังจากนั้นโปรแกรมจะทำการติดตั้งระบบปฏิบัติการลงบน
VM แบบอัตโนมัติ อาจใช้เวลาสักครู่สำหรับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งบน VM
สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าต่างๆ ของคุณเอง
รูปที่ 39 :จะได้ Windows 8 Developer Preview แบบใหม่
เทคนิควิธีการใช้งาน Google ค้นหาข้อมูล
เว็บไซต์ Google แบ่งหมวดหมู่ของการค้นหาออกเป็น
4 หมวดหมู่หลัก ๆ ด้วยกัน ดังนี้คือ
เว็บ (Web) เป็นการค้นหาข้อมูลในรูปแบบของเว็บไซต์ต่าง ๆ
ทั่วโลกโดยการแสดงผลจะแสดงเว็บไซต์ที่มีคำที่เป็น Keywordอยู่ภายเว็บไซต์นั้น
รูปที่ 40 :การค้นหาข้อมูล
รูปที่ 41 :รูปภาพ (Images) เป็นการค้นหารูปภาพจากการแปลคำ Keyword
รูปที่ 42 :แผนที่ (Maps) เป็นการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแผนที่
ข้อมูลแผนที่ทั่วโลก สถานที่สำคัญ
รูปที่ 43 : แปลภาษา เป็นการแปลภาษาซึ่งสามารถแปลได้ไม่น้อยกว่า 50 ภาษาทั่วโลก
บรรยากาศในการศึกษา
บรรยากาศในการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองในลักษณะนี้เป็นการศึกษาที่ดีซึ่งจะทำให้นักศึกษาได้ค้นคว้าความรู้ด้วยตนเองและได้ลงมือปฏิบัติทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในการเรียนการสอนด้วยตนเอง
จึงทำให้นักศึกษาได้ทดลองสิ่งแปลกๆใหม่ๆด้วยตนเอง และการศึกษาแบบนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีที่ช่วยให้นักศึกษามีความเข้าใจมากขึ้นแล้วยังช่วยให้นักศึกษามีความสามัคคี
เห็นใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
ซึ่งเพื่อนในกลุ่มที่ทำงานด้วยกันก็สามารถปรึกษาหาความรู้ในส่วนที่ตนเองไม่รู้เพื่อให้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น
เพื่อนที่ทำไม่เป็นก็สามารถสอนกัน ปรึกษากันเพื่อให้เกิดความคิดที่แปลกใหม่ขึ้น
ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
การศึกษาในลักษณะนี้เป็นการสอนให้นักศึกษาได้คิดและได้นำเนื้อหาในการเรียนการสอนมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ
บรรยากาศของการทำงาน
สมาชิก
1. นางสาว ทัศนีย์ คุณยศยิ่ง รหัส 5406105336
2. นางสาว ลลิตา ญี่นาง รหัส 5406105380
3. นางสาว สุธาสินี บุญเรือง รหัส 5406105394
สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ Sec.02